วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คำแนะนำดีๆ สำหรับสาวๆ ที่กลัวเป็นมะเร็งเต้านม



       >> "มะเร็งเต้านม" ถือเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิงไทย ดังนั้น สาวๆ จึงควรดูแลรักษาร่างกายตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งบรรดาเซเลบริตี้เมืองไทยก็ให้ความสำคัยกับเรื่องนี้เช่นกัน ไปดูกันว่าแต่ละคนมีวิธีดูแลและป้องกันมะเร็งเต้านมกันอย่างไร?
ชฎาทิพย์ จูตระกูล
       :: ชฎาทิพย์ จูตระกูล 
       ในปัจจุบันโรคมะเร็งถือเป็นโรคที่หลายคนเป็นกันเยอะ การที่เราดูแลและเอาใจใส่ตัวเอง สามารถช่วยให้พบสิ่งผิดปกติได้ในระยะที่เร็วขึ้น เราต้องคิดแง่บวกกับเรื่องนี้ ซึ่งกำลังใจนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากกำลังใจดี โอกาสที่จะหายก็มีสูง คำแนะนำทั้งต่อตนเองและเพื่อนผู้หญิงทุกคนคือการหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกๆ ปี
ฮอลลี่ อัมระนันทน์
       :: ฮอลลี่ อัมระนันทน์
       ตอนแรกคิดว่าโรคนี้เป็นโรคที่น่ากลัว แต่พอมาเกิดขึ้นกับตัวเองจึงรู้ว่าโรคนี้เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ และไม่น่ากลัวอย่างที่คิด และได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง จนมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงอย่างทุกวันนี้ สำหรับการดูแลรักษาร่างกายสำหรับคนที่เป็นโรคนี้ กล่าวได้ว่าเพียงแค่ใช้ชีวิตตามปกติ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็สามารถทำให้อาการที่เคยทรุดลงกลับมาดีขึ้นได้ สุดท้ายอยากจะฝากกับทุกคนว่าควรหมั่นตรวจเช็กร่างกาย โรคมะเร็งไม่ใช่โรคที่น่าอาย หากเราตรวจพบเร็วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีทางรักษาหายขาดได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น
ปัญญชลี เพ็ญชาติ
       :: ปัญญชลี เพ็ญชาติ
       เริ่มจากการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง ซึ่งเป็นวิธีที่เข้าใจได้ง่าย เพราะโรคมะเร็งเต้านมเชื่อว่าผู้หญิงเป็นกันมาก แต่ถ้าเรามีความรู้เบื้องต้น และเจอสิ่งผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ ก็สามารถรักษาได้ทันท่วงที โดยปัจจุบันมีวิวัฒนาการที่ก้าวล้ำทันสมัย การตรวจโรคมะเร็งเต้านมจึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป
ท่านผู้หญิงวราพร ปราโมช ณ อยุธยา
       :: ท่านผู้หญิงวราพร ปราโมช ณ อยุธยา 
       ทราบมาว่าปัจจุบันโรงมะเร็งเต้านมถือเป็นโรคร้ายอันดับต้นที่พรากชีวิตผู้หญิงเป็นจำนวนมาก แนะนำให้หมั่นดู ตรวจ และเช็กร่างกายอย่างสม่ำเสมอ อาหารที่เรานำมารับประทานกันก็ต้องเลือกแต่สิ่งดีๆ และถูกสุขลักษณะ ทานผักผลไม้ให้มากๆ :: Report by FLASH


ที่มาข้อมูล : ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เบาๆ กับภาพถ่ายชีวิตสัตว์จากลอนดอน


ภาพชีวิตมดในคอสตา ริกา ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศจากการประกวด (ภาพประกอบทั้งหมดจากบีบีซีนิวส์)
เมื่อศาสตร์และศิลป์มารวมกันกลายเป็นผลงานการประกวดภาพถ่ายชีวิตสัตว์สุดประทับใจ หนุ่มฮังกาเรียนคว้ารางวัลชนะเลิศ จากการบันทึกชีวิตการทำงานของมด พร้อมอีกหลายภาพถ่ายที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติลอนดอน ก่อนตระเวนจัดแสดงไปไปทั่วโลก 

เบนช์ เมท (Bence Mate) ช่างภาพชาวฮังกาเรียนวัย 25 ปี คว้ารางวัลชนะเลิศในการประกวดภาพถ่ายรางวัลนักถ่ายภาพชีวิตสัตว์แห่งปี ประจำปี 2010 ซึ่งผลงานของเขาคือการบันทึกภาพการตัดใบไม้ของมดงานในคอสตา ริกา ของอเมริกากลาง ซึ่งเขาได้ใช้แสงแฟลชช่วยบันทึกภาพมดที่อยู่หลังใบไม้

"พวกมันขยันกันเฉพาะช่วงกลางคืน ซึ่งช่วยให้งานของผมมีความแตกต่าง" เมทกล่าว

ทั้งนี้ บีบีซีนิวส์รายงานว่าภาพถ่ายของเมทจะจัดแสดงพรอ้มกับภาพถ่ายที่ได้รับรางวัลอื่นๆ อีก 100 ภาพในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาตวิทยา (Natural History Museum) ที่กรุงลอนดอน อังกฤษ ซึ่งเริ่มจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค.53 ถึง 11 มี.ค.54 และหลังจากนั้นจะนำภาพถ่ายไปจัดแสดงทั่วอังกฤษและทั่วโลกต่อไป
ภาพเสือดาว 2 ตัวกำลังล่าเหยื่อนี้บันทึกโดย บริดเจนา บาร์นาร์ด (Bridgena Barnard) ระหว่างเธอและครอบครัวไปท่องเที่ยวอุทยานข้ามพรมแดนคาลากาดี (Kgalagadi Transfrontier Park) ในแอฟริกาใต้ ช่วงวันหยุดคริสต์มาส

ภาพฝูงนกกระทุงดัลเมเชียน (Dalmatian pelicans) ทางตอนเหนือของประเทศกรีซ บันทึกโดย จารี เปลโทมากิ (Jari Peltomaki)

ภาพหมีขั้วโลกเข้าจู่โจมกล้องบันทึกภาพที่ควบคุมด้วยรีโมต ซึ่ง ไอริก กรอนนิงซาเตอร์ (Eirik Gronningsater) ได้ภาพนี้ขณะอยู่ที่สถาบันขั้วโลกนอร์เวย์ในสวัลบาร์ด (Norwegian Polar Institute) ซึ่งเจ้าหมีได้คว้ากล้องขึ้นมากัดก่อนจะขว้างลงกองหิมะ

ภาพจระเข้เคแมนในบราซิล ซึ่งบันทึกโดย มาร์เซโล เคราส (Marcelo Krause) เขาไม่เสี่ยงกับการถ่ายภาพนี้มากนัก เพราะเจ้าสัตว์เลื้อยคลานจอมดุนี้ กระโดดงับเลนส์กล้องของเขาเสียก่อน

                                          
ที่มาข้อมูล : 
http://mamnitinat.blogspot.com/

สอนลูกให้ภาคภูมิใจในความเป็นไทย/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ


"เราจะสอนให้ลูกรู้จักความเป็นไทยได้อย่างไร?"

เป็นคำถามที่น่าคิด นักจิตวิทยาชาวอเมริกันกล่าวว่า หากจะถามถึงความทรงจำในช่วงวัยเด็ก สิ่งที่อยู่ในสมองของเด็ก 3 อย่างที่เด็ก ๆ จำได้ คือ การกินอาหารมื้อที่แสนอร่อย การไปเที่ยวที่สนุก และการใช้เวลานอกบ้าน เด็ก ๆ จำได้ถึงการไปเที่ยวน้ำตก การไปเที่ยวทะเล การเข้าค่ายพักแรม และช่วงความทรงจำเหล่านี้ที่เด็ก ๆ จะจำได้ไม่รู้ลืม

แต่เนื่องจากในภาวะปัจจุบันโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว วัฒนธรรมที่หลากหลายเข้ามามีบทบาทสำคัญและเข้ามามีอิทธิพลต่อสถาบันครอบครัว โรงเรียน และสิ่งแวดล้อมที่เด็กอาศัยอยู่ เราจะทำอย่างไรที่จะสร้างความทรงจำที่ดีให้แก่เด็ก เราจะทำอย่างไรให้เด็กรู้และเข้าใจถึงความเป็นคนไทยได้อย่างถ่องแท้ วันนี้ผู้เขียนมีวิธีแนะนำง่าย ๆ และมีประโยชน์ดังนี้

1.เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกดู
 มีขนบธรรมเนียมของไทยหลายอย่างที่น่าจะมีการส่งต่อหรือถ่ายทอดสู่ลูกหลาน เช่นการมีสัมมาคารวะผู้ใหญ่ การเคารพนบน้อบเชื่อฟังบิดามารดา ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางครั้งฝรั่งไม่มี ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง การไหว้แบบไทยๆ รอยยิ้มแบบไทย จนเราได้ชื่อว่า สยามเมืองยิ้ม The Land of Smile ความกตัญญูในการดูแลบุพการีเมื่อมีอายุ การวางตัวที่ดี ความสุภาพเรียบร้อย ความเกรงใจผู้อื่น ซึ่งเด็กๆจะเลียนแบบจากผู้ใหญ่นั่นเอง

2. นิยมบริโภคของที่ทำในประเทศ
พยายามหลีกเลี่ยงของนำเข้าหรือของมียี่ห้อที่นำมาจากต่างประเทศ อย่าคิดว่าของนำเข้าดีกว่าของไทย ข้อนี้คุณพ่อคุณแม่อาจคิดในใจว่าก็ของที่ทำในประเทศมันด้อยคุณภาพจึงทำให้ยากต่อการบริโภค เลยเลือกบริโภคสินค้านำเข้าของแบรนด์ดังๆจนเป็นนิสัย ติดยี่ห้อแต่การกระทำดังกล่าวเป็นการสร้างค่านิยมว่าของต่างประเทศดีกว่าของไทย จนหารู้ไม่ว่าของแบรนด์แนมมากมายหลายอย่างทำโดยคนไทย สินค้าของไทยบางประเภทดีมากแต่ไม่มีใครสนใจ ดังนั้นการสอนลูกให้รู้ถึง สินค้าที่ดีในแต่ละจังหวัด หรือสินค้าหนึ่งผลิตภัณฑ์ต่อ 1 ตำบล อาหารอร่อย ผ้าไหมไทยจะทำให้ลูกนิยมบริโภคของไทย และเกิดความภาคภูมิในความเป็นไทยอีกด้วย

3.แต่งกายแบบไทยๆในวันเทศกาลสำคัญต่างๆ
 เพื่อให้เด็กๆได้รู้จักเครื่องแต่งกายของคนไทยในแต่ละภาค

4.ใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง
 พูด ร เรือ ล ลิงให้ชัดเจน อย่าพูดไทยคำฝรั่งคำ อ่านหนังสือไทยให้ลูกฟังอย่างถูกอักขระ คำประพันธ์ บทกวีของไทย เพลงของแต่ละภาค สอนว่าใครคือผู้ประดิษฐ์อักษรไทย เป็นต้น

5.สอนศิลปะ ประเพณีและวัฒนธรรมของไทยที่ดี 
ที่น่าจะส่งต่อสู่ลูกหลาน สิ่งนี้รวมไปถึง การทำตำราอาหารฝีมือตำรับคุณตา คุณยาย คุณทวด การทำขนมไทยๆ การรำไทย ลูกจะซาบซึ้งในความเป็นไทยและเป็นการปลูกฝังความรักและความภาคภูมิใจในชาติขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

6.เล่านิทานที่ถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษ
 และเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติไทย ให้เด็กๆฟัง

7.สอนเด็ก ๆ ให้ร้องเพลงชาติไทยให้ถูกต้อง
การยืนตรงเคารพธงชาติ ความหมายของธงชาติไทย สัญลักษณ์ของดอกไม้ประจำชาติ สัตว์ประจำชาติ เป็นต้น

8.พาลูกไปดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบไทยๆ
 ไปดูพิพิทธภัณฑ์ของไทยๆ อาชีพหลักของคนไทย ลองฝึกให้ลูกปฏิบัติจริง เช่นลองให้ลูกไปดูแปลงปลูกข้าวในนา ลองสอนวิธีปลูกข้าวให้ลูก ลูกจะได้เรียนรู้จากของจริงและในขณะเดียวกันจะเกิดความรักต่อชาวนา ชาวสวน มีความอดทน และไม่ดูถูกผู้อื่น

9.สอนให้ลูกรู้ถึงต้นกำเนิดของชาติไทย
 ความเป็นชาติไทยและพระราชประวัติของพระมหากษัตริย์ไทยในแต่ละพระองค์

10.พาลูกไปชมดนตรี มโหรสพของไทย
สอนการเล่นเครื่องดนตรีไทย

11.พาลูกให้ชมความสวยงามของธรรมชาติ ที่ต่างจังหวัด
ความสวยงามของบ้านแบบไทยๆ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะอาจเป็นการยากสำหรับเด็กที่อยู่ในกรุงเทพฯ เด็กต้องอยู่ในโลกของคอนกรีต มลพิษต่างๆการที่เด็กเห็นความสวยงามของธรรมชาติ วัดวาอารามต่างๆ จะทำให้เด็กช่วยกันธำรงรักษาสิ่งแวดล้อมที่สวยงามเหล่านี้เอาไว้

12.สอนลูกเล่นการละเล่นของไทย
 เช่น รีรีข้าวสาร ขี่ม้าก้านกล้วย ฯลฯ ลูกจะสนุกในเวลาเดียวกันก็จะซึมซับความรักในความไทยอีกด้วย

ชาติไทยมีเอกลักษณ์ ความเป็นไทยอันมีคุณค่ามาช้านาน คำว่าไท ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้คำจำกัดความว่าผู้เป็นใหญ่ ส่วนคำว่า ไทย หมายถึง ความมีอิสระในตัว, ความไม่เป็นทาส หรือ ไทยหมายถึงชนเชื้อ ชาติไทยมีหลายสาขาด้วยกัน เช่น ไทยใหญ่ ไทยดํา ไทยขาว คนไทยอยู่ร่วมหลายเชื้อชาติกันมาช้านาน เรามีอิสระในความคิด การเลือกนับถือศาสนา เรามีความสุขที่เกิดในประเทศไทย เป็นคนไท โดยที่เราไม่เบียดเบียนผู้อื่น เป็นที่น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้จะหายไปและไม่เหลือความเป็นชาติไทยอีก ดังที่มีผู้เคยเขียนไว้ว่าหากเราไม่รักสามัคคีแล้วเราจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง ดังนั้นหากผู้ใหญ่แสดงให้เด็กดูเป็นตัวอย่างถึงความรักชาติ รักความเป็นไท เป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบทำในสิ่งที่ถูกต้อง ให้ความรู้แก่เด็ก และพยายามสานต่อความเป็นไทยให้สืบทอดต่อลูกหลาน สิ่งเหล่านี้จดจำในความทรงจำและจะไม่สูญหายไปจากใจของเด็กอย่างแน่นอน


ที่มาข้อมูล : http://mamnitinat.blogspot.com/